9/17/2009

คนแบบไหนที่ต้องการวิตามินซี

ทราบหรือไม่ว่า คนแบบไหนที่ต้องเพิ่มวิตามินซีให้ตัวเองด่วน! วันนี้มีมาฝาก..

วิตามินซี เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอีกชนิดหนึ่ง ที่ช่วยปกป้องเซลล์และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังช่วยเยียวยาร่างกายจากการบาดเจ็บ ช่วยให้ร่างกายต่อต้านการอักเสบ และ ป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

โดยทั่วไปแล้ววิตามินซีพบได้ในอาหารจำพวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ส้มสุกลูกไม้ต่าง ๆ ยิ่งในยุคสมัยใหม่อย่างนี้ก็มีผู้ผลิตนำมาอัดเม็ด เป็นอาหารเสริมจำหน่ายกันมากมายในปริมาณต่าง ๆ กันไป

นอกจากที่ว่าคนทั่วไปต้องการวิตามินซีแล้ว คนบางกลุ่มที่สุขภาพไม่ค่อยดี หรือมีความจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมวิตามินซีเพิ่มขึ้นมากกว่าคนทั่วไปก็มีเช่นกัน

- กลุ่มคนที่สูบบุหรี่ 


- กลุ่มคนที่เตรียมตัวผ่าตัด หรือเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด


- ผู้ป่วยที่มีไตเทียม 


- คนที่อยู่ในสถานที่อากาศเย็นเป็นเวลานาน 

ใครที่อยู่ในข่ายเหล่านี้ ก็อย่าลืมหาอาหารที่มีวิตามินซี เป็นส่วนประกอบมาทานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดี

น้ำยาบ้วนปาก จำเป็นหรือไม่?

การแปรงฟัน เป็นวิธีป้องกันโรคฟันผุและโรคเหงือกอักเสบที่ได้ผลที่สุด ทันตแพทย์จึงแนะนำให้แปรงทุกครั้งหลังอาหาร ซึ่งในความจริงเป็นไปได้ยาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้คือ การบ้วนปาก โดยวิธีที่ได้ผลคือ การดันกระพุ้งแก้มให้น้ำเคลื่อนไปด้านซ้าย และด้านขวา หน้าและหลัง บ้วนปากเช่นนี้ซ้ำ 2-3 ครั้ง จะรู้สึกว่าช่องปากสะอาดขึ้นมาก แต่หลายคนเพิ่มความมั่นใจให้มากขึ้นด้วยน้ำยาบ้วนปาก ซึ่งในท้องตลาดก็มีหลายชนิดจำเป็นต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและไม่เกิดอันตราย
ต่อช่องปากและฟันเป็นหลัก ดังนี้  

น้ำยาบ้วนปากที่ช่วยให้ปากสดชื่น
    
        ส่วนผสมที่สำคัญในน้ำยาบ้วนปากคือ ยาฆ่าเชื้อโรคและสารที่ทำให้มีกลิ่นหอม ช่วยให้ลมปากสดชื่น แต่จะมีผลแค่ชั่วคราว เพราะเชื้อในช่องปากมีหลายชนิดและยาฆ่าเชื้อที่ใส่ลงไปก็มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้ออย่างอ่อนๆ เท่านั้น อีกอย่างมีรายงานว่า ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นเกินไปติดต่อกันเป็นระยะเวลานานหรือใช้น้ำยาบ้วนปากที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียแบบเข้มข้นสูงเกินไป ล้วนอาจทำให้สมดุลในช่องปากเสียไป และอาจเกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่อในช่องปากได้ น้ำยาอมบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ช่วยป้องกันการเกิดฟันผุได้

        ปกติเราได้รับฟลูออไรด์จากอาหารที่กินและน้ำที่ดื่มอยู่แล้ว และการใช้ฟลูออไรด์ที่ได้ผลดี ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพที่สุดเห็นจะเป็นการใช้ในรูปของยาสีฟันเพราะเราใช้เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ส่วนการใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์หลังการแปรงฟันแม้มีรายงานว่า สามารถลดการเกิดฟันผุได้ แต่หากได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปหรือเกิดการสะสมก็อาจส่งผลเสีย เช่น ทำให้ฟันตกกระ มีความผิดปกติในการสร้างกระดูกได้ เป็นต้น

น้ำยาบ้วนปากที่ช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก
        ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มียาฆ่าเชื้อแบคทีเรียในผู้ป่วยที่มีเหงือกอักเสบลุกลามหรือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคเหงือกโดยวิธีผ่าตัด เพื่อให้แผลผ่าตัดหรือเหงือกอักเสบหายเร็วขึ้น การใช้น้ำยาบ้วนปากประเภทนี้จึงควรใช้เมื่อทันตแพทย์แนะนำเท่านั้น

น้ำยาบ้วนปากที่ผสมคลอเฮกซีดีน (Chlorhexidine)
      มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการเกิดแผลในช่องปาก ช่วยลดการเกิดฟันผุและบรรเทาอาการเจ็บคอได้ แต่ข้อเสียคือน้ำยาจะขมมากและหากใช้ติดต่อกันนานๆ มักทำให้เกิดคราบสีเหลืองปนน้ำตาลบนตัวฟัน และอาจทำให้การรับรสอาหารเสียไปด้วย

น้ำยาบ้วนปากที่สารสกัดจากสมุนไพร
      สารสกัดจากพืชหรือสมุนไพรช่วยให้มีกลิ่นหอมและรสชาติดีขึ้น ช่วยระงับกลิ่นปาก และช่วยลดการอักเสบในช่องปากได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อโรคและช่วยลดการเกิดคราบจุลินทรีย์ได้บ้างเช่นกัน

น้ำยาบ้วนปากที่ใช้ก่อนแปรงฟัน
      น้ำยาชนิดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คราบจุลินทรีย์อ่อนตัวและหลุดออกง่าย โดยใช้อมก่อนการแปรงฟันเพื่อช่วยให้การแปรงฟันมีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่จากรายงานในวารสารทันตแพทย์พบว่าการใช้ในกลุ่มทดลองไม่มีผลแตกต่างจากผู้ที่ไม่ได้ใช้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังบ้วนปากไม่ได้ดีนักยิ่งไม่เหมาะและไม่จำเป็น
    
        การใช้น้ำยาบ้วนปากที่ดี ต้องใช้ปริมาณที่พอเหมาะ อมกลั้วปากให้นานพอ มีความถี่ในการใช้สม่ำเสมอเพียงพอจึงจะได้ผลเต็มที่ ที่สำคัญน้ำยาบ้วนปากที่ทำออกมาขายในลักษณะที่มีความเข้มข้นมาก ก่อนใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจาง มิฉะนั้นจะเกิดอาการแสบร้อนชา และไม่รับรู้รสชาติสักพักหนึ่ง

7 เทคนิคในการผ่อนคลายตัวเอง

ในโลกปัจจุบันนี้ หลายๆคนคงต้องเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้        

       การหาหนทางที่จะผ่อนคลายตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน้ต่อร่างกายและจิตใจของเราเป็นอย่างมาก บางคนอาจเข้าสปา ไปนวดหน้านวดตัว บางคนไปเที่ยว ซึ่งต่างก็มีวิธีการที่แตกต่างกันไป แต่ความลับของการผ่อนคลายที่แท้จริงก็คือ การควบคุมภาวะจิตใจของเรานั้นเอง ถ้าคุณขาดการควบคุมจิตใจแล้ว การเข้าสปาที่ดีที่ การเที่ยวที่ที่สวยที่สุด ก็ไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้เลย

เทคนิคการผ่อนคลายตนเอง
1.   ปัจจุบัน คือสิ่งที่สำคัญที่สุด - บ่อยแค่ไหนที่คุณมักจะพบว่าคุณเป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คนส่วนมากมักจะมีความวิตกกังวลในเรื่องของอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้วการวิตกกังวลไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มักจะอยู่ในโลกแห่งอดีตหรืออนาคต คุณก็จะไม่สามารถผ่อนคลายได้เลย ฉะนั้นถ้าคุณต้องการผ่อนคลายอย่างแท้จริงคุณจะต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน เราเท่าทันตนเองอยู่เสมอ

2.   สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ - ที่ที่คุณอยู่ หรือสภาพแวดล้อมที่คุณต้องเจอก็ส่งผลต่อจิตใจของคุณเช่นเดียวกัน หลายๆคนอาจไม่ได้ตระหนักถึงปัจจัยนี้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี การอยู่มรบางที่ มันก็ยากที่จะรู้สึกผ่อนคลายได้ คราวนี้ เริ่มมองไปที่รอบตัวคุณ ถ้าคุณเห็นสิ่งที่คอยเตือนใจให้คุณทำโน่นทำนี้ คุณคงต้องลงมือทำอะไสักอย่างกับห้องของคุณแล้วเจ้าพวกของที่คอยกวนใจคุณเป็นเหมือนภาระ หนักของจิตใจคุณ จัดการจัดห้องให้เป็นระเบียบและเก็บมันไปให้พ้นหูพ้นตา หาของประดับห้องให้มีความรื่นรมณ์มากขึ้น คุณอาจยอมเสียเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่อง หรือเทียนหอมมาจุด ก็ช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังเป็นการเพิ่มประสิทธืภาพในการทำงานของคุณอีกด้วย

3.   การทำสมาธิ - ระหว่างที่เรามีสมาธิ จิตของเราจะอยู่ในความเงียบ สงบ และรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง การทำสมาธิสอนให้เรารู้จักจัดระเบียบของความคิดที่ยุ่งเหยิงของเรา ขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะหยุดนิ่ง ซึ่งนำมาซึ่งความสงบและความเบิกบาน การทำสมาธิจึงเป็นการผ่อนคลายที่ดีที่สุด คุณลองหาเวลาวันละ 10 - 15 นาทีเพื่อทำสมาธิ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกแห่งความสงบและผ่อนคลายที่แท้จริงเป็นอย่างไร

4.   ช้าๆได้พร้าเล่มงาม - การผ่อนคลายไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปล่อยกายปล่อบใจอยู่ในสปา หรือบนชายหาดตลอดทั้งวัน เราจะต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายท่านกลางกิจกรรมปกติของเรา การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำอย่างเป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน จะช่วยให้คุณทำงานสบายขึ้น และได้ผลงานที่มากขึ้น ในขณะที่คุญทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน ความสบสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น แล้วคุณก็จะไม่รู้สึกถึงการผ่อนคลายได้เลย เริ่มทำงานที่สำคัญมากที่สุดและเร่งที่สุดก่อน และวค่อยๆทำงานที่สำคัญลอองลงมา ค่อยๆทำอย่างรอบคอบ อย่ากดดันตัวเองให้ต้องทำงานให้มากที่สุด การทำวิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานถูกต้องมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความสบายใจมีมากขึ้น นี่แหละคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณ

5.   อย่าขึ้นผูกติดกับความคิดเห็นของคนอื่น - บ่อยแค่ไหนที่คุณยึดติดกับความคิดของคนอื่น ตอนที่เรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะพูดอน่างไร นั้นก็คือเราได้สร้างภารทางใจให้กับตัวเอง เพราะลึกๆแล้ว เราพยายามต้องสนองความต้องการของคนอื่นอยู่ เราก็จะกดดันตัวเองและก็จะไม่มีทางที่จะผ่อนคลายเลย คุณรู้ไหมว่า คนอื่นก็มักจะคอยจับผิดเรา เราจะไม่มีทางดีพอสำหรับคนอื่นได้ ดังนั้น จงอย่าผูกติดตัวเองกับคำวิภากษ์วิจารณ์ของคนอื่นไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สนใจความคิด เห็นของคนอื่น แต่หมายความว่า เราอย่าาทำให้ตัวเราต้องรู้สึกสนวุ่นวายใจเพียงเพราะความเห็นของคนอื่น เรารับฟังและนำมาคิดด้วยสติอย่างมีเหตุมีผล มันอาจจะทำยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้ว่าคุณยึดติดกับความคิดผู้อื่นน้อยลงเรื่อยๆ

6.   ให้เวลากับตัวเอง - แบ่งเวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะว่างตลอด 24 ชั่วดมงเพื่อใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หัวหน้า หรือแม้กระทั่งเพื่อน จงรับโทรศัพท์หรือตอบ email ลูกค้า หรือหัวหน้าในเวลทำงานเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งกวนใจ และบั่นทอนพลังกายและใจของคุณ

7.   การเปลี่ยนแปลงก็ดีไม่แพ้การพักผ่อน - ชีวิตเราคงไม่ดีแน่ถ้าเหมืนละครที่เล่นซ่ำไปซ่ำมา ถ้าคุณพบว่าคุณติดอยู่ในบ่วงของการทำสิ่งที่จำเจทุกวัน ถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้วหล่ะ เช่น ถ้าคุณดูโทรทัศน์หรือท่องอินเตอร์เน็ตหลังอาหารเย็นทุกวัน วันนี้คุณลองเปลี่ยนมาเดินเล่นรอบหมู่บ้านดูบ้าง การได้ทำสิ่งอะไรใหม่ๆ พบเห็นสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัว

การผ่อนคลายง่ายเหมือนแค่การหายใจ
เมื่อใดที่คุณรู้สึกเครียดหรือกดดัน คุณลองกำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจอย่างนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ แค่นี้คุณก็จะรู้สึกถึงความผ่อนคลายได้ไม่ยาก

9/11/2009

หน้าที่ กับ หน้าตา

หน้าตาเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ ว่าต้องมีหน้าตาอย่างนั้น อย่างนี้ หรือจะตกแต่งให้สวย หล่อ งาม อย่างไรนั้น อาจจะพอแต่งได้ แต่แล้ว ก็กลับมาเหมือนเดิม เมื่อล้าง เมื่อเปลี่ยนสภาพ ชรา แก่เฒ่าไป หรือมีโรคภัย เบียดเบียน 


แต่สิ่งที่สามารถดำรง คงมั่น ยั่งยืน หรือ สามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลง เลือกได้ ทำได้ ศัลยกรรม ตกแต่ง ให้งดงาม เลื่องลือได้ ให้คนยกย่องได้จริง ๆ คือหน้าที่ 

หน้าที่มี ๒ ประเภท คือ หน้าที่โดยแต่ง กับ หน้าที่ อัตตโนมัติ

 หน้าที่โดยแต่ง คือ แต่งตั้งให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้แล้วแต่จะแต่ง แล้วแต่งจะตั้ง (เป็นนายก เป็น หัวหน้า เป็น นาย เป็นบ่าว เป็นรัฐมนตรี เป็นต้น เป็นหน้าที่โดยแต่ง โดยตั้ง) 
  
หน้าที่โดยอัตตโนมัติ เช่น หน้าที่มนุษย์ หน้าที่พ่อ หน้าที่แม่ หน้าที่ผัว หน้าที่เมีย หน้าที่ลูก เป็นต้น เป็นหน้าที่โดยอัตตโนมัติ คือ เมื่อเกิดมาก็ต้องเป็น ไม่เป็นไม่ได้ ทั้ง ๒ นั้น เหมือนกันตรงที่ต้องทำหน้าที่ของตนทั้งสิ้น 
  
แต่ แต่ละคนกลับทำไม่เเหมือนกัน ดังจะว่าต่อไปนี้ 


หน้าที่ดีก็มีหน้าชูราศี 
หน้าตาดีแต่ขี้เกียจ คนเหยียดหยาม 
หน้าที่นั้น สำคัญกว่า คนหน้างาม 
หน้าตาดี หน้าที่ทราม ไม่งามเลย 

หน้าที่ของมนุษย์ ต้องศึกษา 
หน้าที่พ่อค้า ต้องรู้จักผลกำไร 
หน้าที่ศิลปิน ต้องรู้จักศิลปะ 
หน้าที่ของพระ ต้องรู้จักสอนมนุษย์ 
หน้าที่ชาวพุทธ ต้องรู้จักปฏิบัติ 
หน้าที่ของผู้นำ ต้องรู้จักวินัย 
หน้าที่ของผู้ใหญ่ ต้องรู้จักพรหมวิหาร 
หน้าที่ของสมภาร ต้องรู้จักปกครอง 
หน้าที่ของน้อง ต้องรู้จักเคารพพี่ 
หน้าที่ของคนดี ต้องรู้จักเว้นชั่ว 
หน้าที่ของคนกล้า ต้องรู้จักความจริง 
หน้าที่ของผู้หญิง ต้องรู้จักการเรือน 
หน้าที่ของเพื่อน ต้องรู้จักเกรงใจ 
หน้าที่ของคนใช้ ต้องรู้จักเจ้านาย 
หน้าที่ของคนใกล้ตาย ต้องรู้จักพุทโธ 
หน้าที่ของคนใกล้บวช ต้องรู้จักอุปัชฌาย์ 


ที่มา : แว่วมา กับเสียงธรรม(พระมหาสถาพร)

สูตรคำนวณขนาดเจ้าโลกของผู้ชาย

ฮือฮานักวิจัยคิดค้นสูตรคำนวณขนาดเจ้าโลกของผู้ชายแต่ละคนได้ สัมพันธ์กับความยาวของเท้า สูตรที่ว่าคือ ขนาดเท้าหน่วยเป็นเซนติเมตร บวกด้วย 5 แล้วหาร 2 จะออกมาเป็นขนาดเจ้าโลกหน่วยเป็นเซนติเมตร

น.ส.พ.รัสเซียระบุความเชื่อเก่าแก่ของผู้หญิงในเรื่องนี้ ถือว่ามีหลักฐานเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ออกมารองรับเรียบร้อยแล้ว เผยก้าวต่อไปของการวิจัยคำนวณความกว้างของเจ้าโลกจากความกว้างของเท้า ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐยันเคยวิจัยเรื่องนี้แล้ว ไม่พบความยาวของเท้าคนสัมพันธ์กับเจ้าโลกแม้แต่นิดเดียว

เมื่อวันที่ 8 ส.ค. หนังสือพิมพ์ปราฟดาออนไลน์ ประเทศรัสเซีย รายงานว่า ความเชื่อของผู้หญิงที่มักแนะนำให้ผู้หญิงด้วยกันสังเกตดูขนาดเท้าของผู้ชาย เพื่อเปรียบเทียบกับขนาดของอวัยวะเพศของเจ้าของเท้าคนนั้นๆ มีหลักฐานสมการทางคณิตศาสตร์ออกมารองรับแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า มีความเชื่อกันมานานว่าถ้าผู้ชายคนไหนมีเท้าใหญ่มากเท่าไหร่ หมายความว่าอวัยวะเพศชายจะยิ่งยาวมากเท่านั้น ล่าสุด กลุ่มนักวิจัยนานาชาติได้สำรวจเก็บสถิติในหมู่ผู้ชายหลายประเทศ รวมทั้งผู้ชายรัสเซีย เพื่อคิดสมการคณิตศาสตร์พิสูจน์ความเชื่อดังกล่าว และพบว่าขนาดของเท้ากับขนาดของอวัยวะเพศชายมีความสัมพันธ์กันจริง

สำหรับสมการดังกล่าวเขียนออกมาว่า "H= (L+5)/2" หรือ "เอช= (แอล+5)หาร2 "

โดยตัวอักษรแอล คือ ตัวแปรของขนาดความยาวของเท้า ซึ่งวัดหน่วยความยาวออกมาเป็นเซนติเมตร

เมื่อได้ตัวเลขเรียบร้อยแล้วนำมาบวกด้วย 5 และนำไปหารด้วย 2 จะได้ผลลัพธ์ของตัวอักษรเอช ซึ่งก็คือขนาดความยาวอวัยวะเพศชายโดยประมาณ

รายงานยกตัวอย่างการคิดสมการว่า ถ้าผู้ชายคนหนึ่งสวมรองเท้าเบอร์ 41 หรือราว 25 เซนติเมตร จะเขียนสมการได้ว่า H=(25+5)/2

ดังนั้นคำตอบของสมการข้อนี้ คือ 15 เซนติเมตร ซึ่งบ่งบอกถึงขนาดความยาวอวัยวะเพศของเจ้าของเท้าผู้ชายคนนี้

นอกจากนั้น ถ้าคำนวณด้วยสมการชุดเดียวกัน ผู้ชายใส่รองเท้าเบอร์ 43 จะมีขนาดอวัยวะเพศยาว 18.4 เซนติเมตร ผู้ชายใส่รองเท้าเบอร์ 44 ยาว 21.6 เซนติเมตร และผู้ชายใส่รองเท้าเบอร์ 45 ยาว 24.4 เซนติเมตร เป็นต้น

สมการข้างต้นนับว่ามีความสัมพันธ์กับลักษณะการเจริญเติบโตทางกายภาพของมนุษย์ เนื่องจากในช่วงที่ตัวอ่อนทารกเพศชายยังอยู่ในครรภ์มารดานั้น พัฒนาการการเจริญเติบโตของอวัยวะเพศ รวมทั้งมือและเท้าจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน และการเจริญเติบโตของอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของอวัยวะอื่น

"ปัจจุบัน คณะนักวิจัยกำลังศึกษาหาสูตรการคำนวณขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของอวัยวะเพศชาย โดยดูจากขนาดความกว้างของเท้าผู้ชาย" รายงานข่าวระบุ

ทั้งนี้ สำนักข่าว "เอ็นบีซี5" ของสหรัฐอเมริกาเคยรายงานข่าวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการเปรียบเทียบขนาดของเท้ากับอวัยวะเพศของผู้ชายด้วยว่า ดร.เกร็ก เบลส์ ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินปัสสาวะ มหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐฯ
เคยตีพิมพ์ผลการวิจัยลงในวารสารการแพทย์ "British Journal of Urology International" ของอังกฤษ ว่า
ขนาดของเท้า รวมถึงอวัยวะส่วนอื่นๆในร่างกายผู้ชาย อาทิ มือ นิ้ว และจมูก ไม่มีส่วนสัมพันธ์กับขนาดของอวัยวะเพศชายอย่างที่มีความเชื่อกันมานาน การศึกษาครั้งนี้ทำโดยการวัดขนาดเท้าของผู้ชายที่ใส่รองเท้าเบอร์ 43-48 ครึ่ง และนำมาเทียบกับขนาดอวัยวะเพศ ปรากฏว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย

สำหรับขนาดรองเท้า ตามค่ามาตรฐานยุโรป เทียบหน่วยความยาวของเท้าเป็นเซนติเมตรนั้น สามารถเปรียบเทียบได้ดังนี้

เบอร์ 38 ความยาวเท่ากับ 24.5 เซนติเมตร

เบอร์ 38.5 เท่ากับ 24.8 เซนติเมตร

เบอร์ 39 เท่ากับ 25.1 เซนติเมตร

เบอร์ 40 เท่ากับ 25.4 เซนติเมตร

เบอร์ 41 เท่ากับ 25.7 เซนติเมตร

เบอร์ 42 เท่ากับ 26 เซนติเมตร

เบอร์ 43 เท่ากับ 26.7 เซนติเมตร

เบอร์ 44 เท่ากับ 27.3 เซนติเมตร

เบอร์ 45 เท่ากับ 27.9 เซนติเมตร

เบอร์ 46.5 เท่ากับ 28.6 เซนติเมตร

และเบอร์ 48.5 เท่ากับ 29.2 เซนติเมตร

อันนี้จะเชื่อได้หรือไม่ หนุ่มๆ คงต้องพิสูจน์กันเอง แล้วจะรู้นะคะ ^_^

ที่มาข่าว

9/10/2009

ปากแห้งแตกเป็นขุย...รักษาได้อย่างไร

ปากหวานคืออาการของคนพูดจาไพเราะ ฟังเพราะเสนาะโสต แต่ถ้าหากเกิดอาการปากแห้งขึ้นมา ขอบอกให้คุณทราบก่อนเลยว่า ไม่เกี่ยวกับปากหวานเป็นแน่แล้วปากแห้งเกิดจากอะไรล่ะ? 

     อาการปากแห้ง นั้นเกิดจากการดื่มน้ำน้อย ความเครียด การพูดเป็นเวลานานๆ การรับประทานยารักษาโรคบางชนิด หรือการรับรังสีเพื่อการรักษาโรค 

     เมื่อคุณมีอาการริมฝีปากแห้งต้องรีบรักษา เพราะปากมีไว้เจรจาเป็นอวัยวะที่มีเสน่ห์ สร้างความประทับใจ หากปล่อยทิ้งไว้ให้อาการรุนแรงจนริมฝีปากแห้งแตกลอกเป็นขุยหนักเข้าจนปากเริ่มเจ่อบวมแดง นอกจากจะก่อให้เกิดอาการเจ็บแสบในยามที่คุณแย้มยิ้มหรือในขณะรับประทานอาหารรสชาติร้อนแรงแล้วนั้น ยังเป็นตัวการสำคัญที่จะทำลายบุคลิกภาพของคุณโดยไม่รู้ตัว  เพราะในคนที่มีอาการริมฝีปากแห้งจนเป็นคราบขาว ปากแห้งมากจนน้ำลายเหนียว เจ้าเชื้อโรคตัวร้ายในช่องปากจะเติบโตเป็นจำนวนมากก่อให้เกิดกลิ่นปากตามมาได้ (แล้วอย่างนี้ใครล่ะจะกล้าจุมพิต) 

เมื่อปากแห้งแตกเป็นขุย...รักษาได้อย่างไร? 

     สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ หรือจิบน้ำอุ่นๆ บ่อยๆ จะเป็นการดี หากปากแห้งมากจนลอกเป็นขุย ให้ใช้น้ำอุ่น ผสมเกลือป่นเล็กน้อย แล้วใช้สำลีหรือทิชชูชุบน้ำอุ่นผสมเกลือป่นให้เปียกพอหมาดๆ แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที หรือเช็ดไล้เบาๆ ไปบนริมฝีปาก ก็จะช่วยให้ขุยต่างๆ หลุดลอกออกไปได้ หมั่นทาลิปมันที่มีส่วนผสมของสารบำรุง หรือถ้าปากแห้งมากแนะนำให้ใช้ปิโตเลี่ยมเจล (มีลักษณะเป็นเจลใสคล้ายขี้ผึ้ง) ทาบนริมฝีปากได้บ่อยครั้งตามต้องการ

กินผักบุ้งแล้วตาหวานจริงหรือ

เคยได้ยินหรือเปล่าจ๊ะว่า กินผักบุ้งแล้วจะตาหวาน แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไร วันนี้มีข้อมูลดีๆ จากคุณหมอ มาฝาก

เชื่อหรือเปล่าว่า "กินผักบุ้งแล้วตาจะหวาน" เหมือนอย่างที่คนสมัยก่อนมักพูดกันทีเล่นทีจริง ถ้าอย่างนั้นเต่าที่กินผักบุ้งก็คงตาหวานกันทุกตัวอย่างนั้นสิ แล้วที่จริงแล้วกินอะไรถึงบำรุงสายตา

นายแพทย์คำนูณ อธิภาส ผู้อำนวยการศูนย์เลสิกกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ หัวเราะร่วนก่อนให้คำตอบว่า จริงๆ แล้ว ตาของคนเราต้องการวิตามินหลายชนิด "ผักบุ้งอย่างเดียวคงไม่พอนะ"

เริ่มตั้งแต่ "วิตามินเอ" ที่มีผลต่อเรตินาหรือจอรับภาพ ผิวกระจกตา ผิวเยื่อบุ ขณะที่ "วิตามินซี" ก็จะเกี่ยวข้องกับน้ำตา ผิวกระจกตา และเส้นใยคอลลาเจนในตาดำ ส่วน "วิตามินบี" จะมีผลต่อความไวของประสาทเกี่ยวกับการส่งสัญญาณไปยังสมอง

"ด้วยความที่เราต้องการวิตามินเยอะมาก ดังนั้น จึงต้องรับประทานพืชผักหลายชนิด อย่าง แครอท หรือผักบุ้งก็จะประกอบด้วยวิตามินหลายอย่าง แต่ผมคงไม่ได้เจาะจงว่าให้กินผักบุ้งอย่างเดียว ควรจะกินอาหารหลายๆ อย่าง ให้ครบหมวดหมู่ตามที่ร่างกายต้องการจะดีกว่า"

คุณหมอยิ้มแถมด้วยคำอธิบายเล็กๆ เกี่ยวกับความเชื่อที่ว่า หากสายตาสั้นตอนเด็ก แก่ตัวไปสายตาก็จะยาว ทำให้สายตากลับมาสมดุลปกติ

"อาการสายตายาวแบบผู้สูงอายุ หรือที่เรียกว่า presbyopia คือ 'ดูไกลชัดแต่ดูใกล้ไม่ชัด' มักจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงอายุ 40 ปี หลายคนคิดว่าพอสายตายาวในตอนแก่แล้ว จะทำให้สายตาสั้นที่มีอยู่เดิมก่อนหน้านี้หายไปได้ จริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง เพราะสายตาสั้นของเก่าก็จะยังอยู่เหมือนเดิม แต่จะเกิดอาการสายตายาวเกิดซ้อนขึ้นมาด้วย นั่นยิ่งทำให้แย่มากกว่าเดิมเสียอีก จึงควรเข้ารับการรักษา อาจต้องหาแว่นตามาสวม หรือใช้วิธีการรักษาอื่นๆ ก็ว่ากันไป"

แต่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะเลือกที่จะใช้แว่นตา หรือคอนแทคเลนส์มากกว่าวิธีอื่น อาจด้วยราคาที่ถูก และคิดว่าตาก็ดีๆ อยู่แล้ว ทำไมต้องไปทำอะไรกับมันให้วุ่นวาย ต่างจากมุมมองของจักษุแพทย์ที่เห็นว่าแม้สายตาสั้น-ยาว จะเป็นตาที่มีสุขภาพดีจริง แต่ถือว่ามีความผิดปกติที่น่าจะได้รับการแก้ไข

"คนทั่วไปมองว่าสายตาสั้นนิดยาวหน่อยเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ตาดีๆ อยู่ จะไปทำอะไรกับมันทำไม จริงๆ สายตาสั้น ยาว เอียง เป็นตาที่มีสุขภาพดี แต่ถ้าในวงแพทย์จะถือว่าเป็นความผิดปกติ สมมติเรามีสายตาสั้น 500 ระยะใกล้ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดต้อง 20 เซนติเมตร นั่นทำให้สมรรถภาพในการมองเห็นของเราด้อยลงไป"

การเข้ารับการรักษาให้ตามองเห็นได้ชัดเจนในระยะที่สมควรจะเป็น จึงเป็นการแก้ความผิดปกติ บางคนอาจมองว่าเป็นการเสริมความงามให้กับตัวเองเกินไปหรือเปล่า คุณหมอหยุดคิดก่อนจะทิ้งท้ายว่า "ก็เป็นส่วนหนึ่งนะ อย่างปัจจุบันคนอเมริกันทำเลสิคไปแล้ว 4 ล้านคน เหตุผลเหมือนกันเลยคือ..ไม่อยากใส่แว่น" ตรงกันข้ามบางคนอาจคิดว่า ใส่แว่นแล้วดูคงแก่เรียน และน่าเชื่อถือก็มี

รู้แบบนี้ ก็อย่าลืมกินผักกันมากๆ นะจ๊ะ ตอนแก่แล้วจะได้ยังมีสายตาดีอยู่ จริงหรือเปล่าล่ะจ๊ะ ผักทุกชนิดมันก็มีประโยชน์ทั้งนั้นและเนอะ แต่อย่าลืมล้างให้สะอาดนะจ๊ะ

9/08/2009

ข้อเสียของกาแฟ

ใครที่ชอบดื่มกาแฟเป็นประจำ รู้ถึงข้อเสียของกาแฟกันหรือเปล่า วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...

ผลการวิจัยจากประเทศกรีซ บอกว่า
กาแฟ ที่ดื่มปานกลางถึงมากทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ นักวิจัยศึกษาลงลึกในเรื่องกาแฟกับการอักเสบ (coffee and inflammation) ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคอ้วนและเบาหวาน

รายงานการวิจัยซึ่งปรากฏในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition ฉบับเดือนตุลาคม ระบุว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟพอประมาณไปจนถึงมากพบร่องรอยการอักเสบในระดับสูงกว่าผู้ไม่ ดื่มกาแฟ งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาชาวกรีกชายหญิงจำนวน 3,000 คนที่ไม่เคยมีประวัติการเป็นโรคหัวใจมาก่อน คนเหล่านี้จะต้องตอบแบบสอบถามถึงพฤติกรรมการกินกาแฟและปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหัวใจ เช่น อายุ เพศ น้ำหนัก อาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การใช้ยารักษาโรค การบริโภคผลไม้ พืชผัก ปลา ผลไม้เปลือกแข็ง น้ำมันมะกอก และแอลกอฮอล์ มีการนำตัวอย่างเลือดของคนเหล่านี้ไปศึกษาหาร่องรอยของการอักเสบ

โดยนักวิจัยเป็นผู้วิเคราะห์ผล พบว่า
ผู้ ที่ดื่มกาแฟวันละไม่ต่ำกว่า 200 ซีซี (มากกว่าหนึ่งถ้วยนิดหน่อยซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ถือว่าดื่มปานกลาง โดยหนึ่งถ้วยกาแฟมีคาเฟอีน 28 มิลลิกรัม ผู้ดื่มอาจดื่มกาแฟสำเร็จรูปบ้าง กาแฟคั่วบ้าง จะเป็นคาปูชิโนหรือเอสเปรสโซ่ หรือชนิดใดก็ตามซึ่งมีคาเฟอีนปริมาณต่าง ๆ กัน ผู้วิจัยจะนำมาคำนวณความต่างตรงนี้ด้วย) มีร่องรอยการอักเสบมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าดื่มกาแฟมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เป็นโรคหัวใจได้.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ข้อดีของคนอ้วน

เรารู้กันดีว่าการนอนคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด และเราควรนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 ชม. แต่ที่มันยากคือหลายคนนอนยังไงก็นอนไม่หลับ นับแกะไปเป็นร้อยตาก็ยังค้างเป็นนกฮูกอยู่ กว่าจะหลับก็ปาไปค่อนคืน นอนไปไม่นานก็ต้องรีบตื่นตาลีตาเหลือกไปทำงานด้วยอาการง่วงๆ เพลียๆ ไม่สดชื่น ใครที่มีอาการแบบนี้ ลองสำรวจตัวเองหน่อยสิคะว่า มีพฤติกรรมเหล่านี้บ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็ต้องบอกว่าอย่าทำ อย่าทำ เพราะมันทำให้คุณหลับยากค่ะ

1. เต่งตึง ไม่เหี่ยวแห้ง ดูมีน้ำมีนวล
2. น่ารัก โดยเฉพาะคนอ้วนๆ ขาวๆ มักมีคนชอบมาฟัดเล่น
3. คนอ้วนส่วนใหญ่มักจะอารมณ์ดี หัวเราะง่าย เอะอะก็เอิ้กอ้าก หัวเราะดัง มองโลกในแง่ดี
4. ก็เลยทำให้คนอ้วนมักมีเพื่อนเยอะ
5. กินง่าย อยู่ง่าย ไม่เรื่องมาก (เพราะกินได้ทุกอย่าง)
6. มีความสุขกับการกิน ไม่กลัวอ้วน (เพราะอ้วนอยู่แล้ว) คนเราอายุสั้น หาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่าเนอะ
7. ไม่ค่อยมีความทุกข์กะเค้านานๆ เพราะว่าเพราะไม่สบายใจก็หาอะไรอร่อยๆ กิน แป๊บเดียวก็ลืมหมดแล้ว อิอิ
8. เวลาซ้อนมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างจะปลอดภัยมาก เพราะน้ำหนักเยอะ เค้าซิ่งไม่ได้ (อาจจะไม่จริงในกรณีที่เค้ายกล้อ)
9. รู้จักที่กินอร่อยๆ เยอะ มีเรดาห์ในการหาของอร่อยๆ กินเสมอ เป็นคนออกความคิดได้ดีเวลาต้องไปกินอะไรกับเพื่อนๆ
10. เราเป็นคนประหยัด เพราะไม่เคยต้องทิ้งของกินให้เสียของ
11. ไม่จมน้ำตาย เพราะเรามีห่วงยางรอบเอว เวลาไปว่ายน้ำกับลูกหลาน เราสามารถเป็นทุ่นให้เด็กๆ เกาะได้
12.ไปไหนมาไหนได้เร็วกว่าชาวบ้าน เพราะว่ากลิ้งเอา
13. เวลาที่ขาดแคลนอาหาร เราจะตายหลังเพื่อน เพราะเราสะสมอาหารไว้เยอะ
14. เราเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เรื่อยๆ เพราะน้ำหนักขึ้นทำให้ต้องหาเสื้อใหม่ ทำให้เราไม่ตกยุค แถมเสื้อผ้าเก่าๆ เราก็สามารถเผื่อแผ่ให้คนอื่นๆ ได้บุญนะ
15. เวลาคนอื่นเค้าหนาวกันเราไม่หนาว
16. แถมเวลาคนอื่นเค้าร้อนกัน เราจะมีเหงื่อเยอะทำให้ตัวเย็น เป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้อีก
17. คนเราสามารถยกของได้ไม่เกิน 10 % ของน้ำหนักตัว แสดงว่าคนอ้วนๆ ก็ยกของได้หนักกว่าคนทั่วไป
18. เราสามารถระบำหน้าท้องได้น่าดูกว่าคนผอมๆ (มั้ง)
19. เวลาใส่กางเกงเลเราก็ไม่ต้องผูก (มันเต็มพอดี)
20. เราสามารถใส่เสื้อ XL เป็นเสื้อติ้วได้

อย่างไรก็ดี คนอ้วนก็ควรจะรักษาสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ หาของอร่อยๆ กินในปริมาณที่พอดี จะได้แข็งแรงไม่เป็นโรค มีชีวิตอยู่เพื่อกินอะไรอร่อยๆ ไปอีกนานๆ นะจ๊ะ

เรื่องต้องห้ามยามนอน

เรารู้กันดีว่าการนอนคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด และเราควรนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 ชม. แต่ที่มันยากคือหลายคนนอนยังไงก็นอนไม่หลับ นับแกะไปเป็นร้อยตาก็ยังค้างเป็นนกฮูกอยู่ กว่าจะหลับก็ปาไปค่อนคืน นอนไปไม่นานก็ต้องรีบตื่นตาลีตาเหลือกไปทำงานด้วยอาการง่วงๆ เพลียๆ ไม่สดชื่น ใครที่มีอาการแบบนี้ ลองสำรวจตัวเองหน่อยสิคะว่า มีพฤติกรรมเหล่านี้บ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็ต้องบอกว่าอย่าทำ อย่าทำ เพราะมันทำให้คุณหลับยากค่ะ

ไม่หิว ไม่อิ่ม อย่าเข้านอนพร้อมกับความหิวหรือท้องที่กำลังอิ่ม เพราะทั้งสองอาการจะทำให้คุณหลับไม่ลง หลับยากขึ้น ฉะนั้นก่อนนอนไม่ควรกินอาหารมื้อใหญ่ หรืออย่างน้อยมื้อนั้นต้องห่างจากเวลานอน 3 ชม. และห้ามอดอาหารมื้อเย็น

no caffeine หลังจากกาแฟช่วงบ่ายที่ทำงานแล้ว อย่าดื่มกาแฟและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมคาเฟอีนค่ะ ถ้าคุณดื่มกาแฟ 1 ถ้วยหลังอาหารค่ำ จะทำให้คุณตาค้างไปนานถึง 6 ชม. และยังสร้างวัฏจักรหลับยากให้ตัวเอง เพราะพอเช้ามาคุณจะตื่นมาแบบสะลึมสะลือ และต้องพึ่งกาแฟเพื่อให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่า ตาสว่างขึ้น วนเวียนอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นแนะนำให้เป็นนมสักแก้วจะดีกว่าค่ะ เพราะในนมมีสารทริปโตเฟนที่จะช่วยให้คุณง่วงและหลับง่ายขึ้น

อย่าเปิดลิ้นชักงาน อย่าแบกเรื่องงานขึ้นไปบนเตียงนอนด้วย เพราะมันจะคอยหลอกหลอนคุณจนไม่เป็นอันหลับอันนอน คุณจะคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องงานแม้จะปิดแฟ้มเข้านอนแต่คุณก็ตาสว่างไปซะ แล้ว

งดเรื่องตื่นเต้น กิจกรรมติดพัน และช่วงเวลาก่อนเข้านอนพยายามอย่าทำกิจกรรมที่เร้าอารมณ์ ตื่นเต้นหรือกิจกรรมที่จะทำให้คุณรู้สึกติดพันจนไม่อยากหลับ เช่น อ่านหรือดูหนังเรื่องตื่นเต้น สืบสวนสอบสวน แต่ควรเป็นกิจกรรมที่คุณได้พักผ่อน ทำให้คุณรู้สึกง่วงหรือกิจกรรมที่ซ้ำซากน่าเบื่อเพราะมันจะช่วยให้คุณง่วง

เปลี่ยนซะ นาฬิกาปลุกยี่ห้อมือถือ ไม่ควรหลับไปพร้อมกับที่มีมือถือวางอยู่ใกล้ๆ โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกในช่วงเช้าเนี่ย ขอแนะนำให้กลับไปใช้บริการนาฬิกาปลุกแบบเดิมค่ะ เพราะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า ช่วงที่โทรศัพท์มือถือเปิดเครื่องอยู่จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ก็มีผลกับระบบประสาท ทางที่ดีปิดเครื่องหรือวางไว้นอกรัศมีเตียงนอนของคุณ

อย่าจับจ้องกับเวลา ว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยไปดึกแค่ไหน การจดจ่อกับเข็มนาฬิกายิ่งทำให้คุณกระวนกระวายใจและหลับยากมากขึ้น

อย่าฝืนหลับทั้งที่ไม่หลับ ถ้าทำทุกอย่างแล้ว 30 นาทีผ่านไปยังไม่หลับ ให้ลุกจากเตียงไปทำอะไรที่ไม่กระตุ้นร่างกาย จิตใจเกินไป และควรเป็นห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องนอน อย่าเกี่ยวข้องกับห้องนอนด้วยความเครียด กังวล และอย่ากลับไปที่เตียงถ้ายังไม่ง่วง นอกจากข้อห้ามเหล่านี้แล้ว ยังมีอีก 2 เรื่องต้องห้ามที่แม้จะไม่เกี่ยวกับคุณภาพการนอนเท่าไหร่ แต่ก็เกี่ยวกับสุขภาพโดยเฉพาะกับคุณผู้หญิงค่ะ

หมดเวลายกทรง อย่าใส่ยกทรงนอนค่ะ มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชม. จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้

No make up อย่าหลับไปทั้งที่มีเครื่องสำอางโบ๊ะอยู่เต็มหน้า ถ้าคุณรักผิวหน้าอันผุดผาดของตัวเอง ไม่อยากให้มีสิวมากล้ำกรายและอยากเห็นผิวหน้ามีสุขภาพดีไม่มีปัญหา ต่อให้เหนื่อยหรือเมื่อยล้ายังไงก็ต้องไม่ลืมล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อน เข้านอนค่ะ